ฐานข้อมูลวิจัยด้านสุขภาพจิตและจิตเวช

ผู้วิจัย/Authors: ปราโมทย์ สุคนิชย์

ชื่อเรื่อง/Title: ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้ (ประมาณนั้น).

แหล่งที่มา/Source: จุลสารสุขภาพจิตที่ 1, ปีที่ 6, ฉบับที่ 2, กุมภาพันธ์ 2550-พฤษภาคม 2550, หน้า 5.

รายละเอียด / Details:

เชื่อหรือไม่ว่า โอกาสที่ใครคนหนึ่งจะเกิดเป็นโรคจิตได้ มี 1 ใน 100 ถ้าเป็นสำนวนโบราณ ใครเป็นหนึ่งในร้อยถือว่าหายากก็คนสมัยก่อนมีน้อย กว่าจะหาคนได้ครบร้อยก็ยากเต็มทีแต่ถ้าคิดว่า นักเรียน 2 ห้อง (ถ้าเป็นโรงเรียนดังๆที่ขี่คอกันเรียนก็แค่ห้องกว่าๆ) โตขึ้น จะมีคนป่วยเป็นโรคจิตนี้ซัก 1 คน คนงานบริษัทโรงงานที่คุณอยู่ 2000 มีเป็นราว 20 คน ถ้ามีคนเฉลี่ยครอบครัวละห้าคน นับไป 20 หลังคาเรือน ก็เจอคนป่วยหนึ่งคน หรือเมืองไทยจะมี คนป่วยราว 600000 คน ตอนนี้ เริ่มรู้สึกน่าเป็นห่วงไหมครับ ที่ทำให้น่าคิดเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ อายุที่คนเหล่านี้เริ่มป่วยมักเป็นวัยรุ่นตอนปลาย อายุราว 17-18 ถึง 20 ต้นๆ ถ้าเป็นนักเรียนก็เป็นมัธยมปลาย ปวช. ปีท้ายๆ จนถึงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัยที่กำลังสวยงาม เต็มไปด้วยอุดมการณ์ความฝันที่จะออกมาประกอบอาชีพ หรือทำประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคม แต่ต้องกลับมาป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและเรื้อรัง แม้จะไม่ได้ทำให้ล้มตามไปก็ตาม ชวนให้คิดว่า ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้น้า? ตอบแบบกำปั้นทุบดินทันทีว่าไม่รู้ครับ ถ้าใครรู้คงได้รางวัล Nobel ตอบดีหน่อยๆจะเป็นว่า โรคจิตหรือโรคจิตเภทมีสาเหตุหลายๆอย่างมาประกอบกัน ไม่อาจตอบเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวแบบโจทย์คณิตศาสตร์ อย่างที่เราชอบเค้นหาให้ได้ว่าเพราะอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ละคนก็อาการต่างๆกันไปทำให้ตอบให้แน่ชัดได้ลำบาก จะขอเริ่มเล่าแบบนี้ครับ ตั้งแต่เกิดมา เด็กทุกคนย่อมรับส่วนต่างๆของพ่อแม่ปนกันมาทางกรรมพันธุ์ ซึ่งแน่นอน กรรมพันธุ์ของพ่อแม่เองก็รับมาจากเทือกเถาเหล่าเครือญาติอื่นมาเป็นทอดๆ สิ่งที่ถ่ายเทลงมามีทุกอย่างทั้งความปราดเปรื่อง ความสูงต่ำดำขาว เหมือนสมัยเราเรียนตอนเด็กเรื่องถั่วต้นสูงผสมต้นเตี้ย โรคหลายโรครวมทั้งโรคจิตก็เฮลงมาด้วย แม้พ่อแม่อาจไม่มีอาการ แต่ก็เป็นคนส่งต่อได้ เด็กที่รับกรรมพันธุ์โรคจิตมา ก็ถือว่าเสี่ยงจะเป็นโรคมากกว่าใครทั่วไป ยกตัวอย่างความแรงของพันธุ์กรรมให้ฟัง ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้หนึ่งคน ลูกเกิดมาจะเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กว่าคนทั่วไปราว 12 เท่า ถ้าทั้งพ่อทั้งแม่เป็นแล้วมามีลูกด้วยกัน เสี่ยงขึ้น 40 เท่า ถ้าเด็กแฝดเหมือนคนหนึ่งเกิดป่วยด้วยโรคจิต แฝดอีกคนมีโอกาสครึ่งต่อครึ่งถึงเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่ป่วยไปให้คนอื่นเลี่ยงโอกาสป่วยก็เป็น 12 เท่าอยู่ดี ตรงนี้แสดงว่า โรคนี้เกิดจากพันธุ์กรรมเป็นหลัก หาใช่ความผิดที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาไม่ดีไม่ ต้องขอเน้น เนื่องจากพ่อแม่บางส่วนจะรู้สึกผิดว่าตนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีอย่างมาก คนทั่วไปชาวบ้านก็มักเข้าใจอย่างนี้ เอาพ่อแม่ไปนินทาว่าเลี้ยงลูกอย่างนี้ ลูกถึงได้ป่วย เลยพลอยอับอายหลบซ่อน ไม่กล้าพาลูกไปรักษา (แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงยังไงก็ได้นะครับ เพราะถึงไม่เป็นโรคจิตถ้าเลี้ยงไม่ดี เด็กก็มีโอกาสเป็นโรคทางจิตเวชอื้นอีกอีกตั้งเยอะ) อย่างไรก็ตาม ท่าทางปฏิบัติของพ่อแม่และคนในครอบครัวต่อผู้ป่วยโรคนี้ จะมีส่วนอย่างมากต่อการกำเริบของโรค หากเว้นการแสดงอารมณ์ที่รุนแรง หรือวิพากษ์วิจารณ์ใส่กัน แบบตัวอิจฉา กับนางเอกละครไทยปะทะกันหลังข่าวลง ย้อนกลับมาเข้าเรื่องอีกที ว่าเจ้าพันธุกรรมไปทำอะไรกับคนที่โชคร้ายเหล่านี้จนป่วยขึ้นมา อย่างที่ทราบกันคือ พันธุกรรมมีส่วนกับการพัฒนาของอวัยวะทุกส่วน รวมถึงสมองอันเป็นส่วนที่เกิดโรคในโรคจิตขึ้น เชื่อว่า อาจทำให้เซลล์สมองตอนกำลังโตเรียงตัวกันไม่ถูกแนวนัก โดยถ้านำคนไข้บางคนมา X-ray สมองพบว่า บางรายมีขนาดของบางส่วนของสมองต่างไปจากขนาดเฉลี่ยของคนทั่วไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช้มากมาย หรือกลายเป็นก้อนในสมองแต่อย่างใด ผลที่สำคัญกว่าของการมีพัฒนาของเซลล์สมองที่มีหลายพันล้านตัวพวกนี้ผิดปกติ ก็คือ ทำให้เซลล์เหล่านี้ “คุย” กัน (แม้จะอยู่กันคนละพรรคคนละขั้ว) ไม่สะดวกหรือถูกต้องเท่าเดิม คล้ายคุณภาพโทรศัพท์มือถือของไทยตอนนี้ ปกติวิธีการคุยกันของเซลล์สมองก็คือปล่อยสารเคมีชนิดต่างๆมาเป็นภาษาสื่อกัน พันธุกรรมของโรคนี้จะทำให้เกิดความบกพร่องในสารเคมีมีหลายภาษา โดยเฉพาะที่ชื่อ โดปามีน (dopamine) และ ซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งจะเสียสมดุลไป จนเกิดมีอาการของโรคในแง่ที่มีความคิดที่ไม่สมเหตุแปลกๆ จนกระทั่งเกิดหูแว่วประสาทหลอน หรือเหม่อลอยเฉยเมย ขึ้นในที่สุด หลายคนคงนึกถึงยาบ้า หรือ amphetamine ว่า อ๋อ มิน่าเล่ากินยาบ้าถึงได้บ้าได้สมใจ ก็เพราะ amphetamine จะไปทำให้สารเคมีกลุ่มที่เล่าแล้วเสียสมดุลย์ไปได้เหมือนกัน นอกจากนี้ คนแก่ที่มีสมองเสื่อม คนที่มีโรคทางสมอง เช่น ลมชัก หรือสมองเคยได้รับการกระทบกระเทือน เป็นโรคสมองอักเสบเป็นโรคตับโรคไตที่มีของเสียค้างในตัวมาก จนขึ้นไปรบกวนการทำงานของสองซึ่งหมายถึงระบบภาษาสารเคมีนั้นๆ ก็เกิดอาการเหมือนโรคจิตได้ มาถึงตรงนี้ คงเข้าใจมากขึ้นว่า หากเกิดเป็นโรคนี้ เราก็ต้องหาทางทำให้ระดับสารเคมีสื่อสารเหล่านี้กลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง ซึ่งพระเอกในที่นี้ ก็ได้แก่ยารักษาโรคจิต ที่มีทั้งชนิดกินและฉีด และเดี๋ยวนี้ มีการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาไปอย่างมาก ในขณะที่ผลข้างเคียงเดิมๆ เช่น ง่วงนอน ลดลงไปมาก อยากทำความเข้าใจสักนิดว่า การรักษาโรคนี้ ซึ่งได้แก่การรักษาสมอง เป็นเรื่องที่อาศัยเวลา (ขนาดดารายังบอกเลยว่า รักษาผมแตกปลายไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่ต้อง 14 วัน) อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ในการทำให้อาการสงบ และต้องกินยาต่อไปอีกหนึ่งปี เพื่อไม่ให้การเป็นซ้ำ ซึ่งมีโอกาสสูงมาก เกิดขึ้นอีก เรายังพบด้วยว่า คนที่หยุดยาเอง พอเป็นซ้ำมักอาการรุนแรง และรักษายากกว่าตอนเป็นครั้งแรกมาก รายละเอียดเรื่องการรักษา ยังมีอีกมาก ไว้จะเขียนให้อ่านเล่นกันอีกที

Keywords: โรคจิต, ครอบครัว, สังคม, ความรุนแรง, สุขภาพจิต

ปีที่เผยแพร่/Year: 2550

Address: -

Code: 200800203

ISSN/ISBN: -

Country of publication: ประเทศไทย

Language: ไทย

Category: บทคัดย่อ

Download: